ข่าวทั่วไปข่าวเด่นวันนี้

3 เดือนหลัง 14 พฤษภา ประเทศไทยก็ยังเหมือนเดิม

ย้อนไป 3 เดือนก่อน การนับคะแนนเลือกตั้งเริ่มขึ้นช่วงเย็น ทันทีที่ปิดคูหาลงคะแนน เวลาผ่านไป จนค่ำ ตัวเลขที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ฉายให้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ เพราะไม่เคยมีใครคาดคิดว่า พรรคก้าวไกลจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง มี สส. รวมมากที่สุด และได้คะแนนบัญชีรายชื่อ 14 ล้านเสียง

ส่วนพรรคเพื่อไทยที่ถูกวางเป็นเต็งหาม คำว่าแลนด์สไลด์คือแคมเปญโฆษณาหาเสียงที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

มีการวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา ถึงยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของพรรคก้าวไกล ว่าเป็นความใฝ่ฝันและความต้องการของประชาชน ผลสะท้อนจึงออกมาเป็นคะแนนถล่มทลาย ขณะเดียวกัน ก็มีการพูดถึงสถานการณ์ช่วงสุดท้าย โดยเฉพาะการประกาศเตรียมตัวกลับบ้านของ ทักษิณ ชินวัตร ว่าอาจมีส่วนทำให้เสียงที่เตรียมกาให้เพื่อไทยไหลไปฝั่งพรรคส้ม เพราะเค้าลางของ ‘ดีลลับ’ และข่าวลืออย่างการแลนด์สไลด์เพื่อเป็นบันไดให้ทักษิณกลับบ้าน อาจเกิดขึ้นจริง

‘กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ คือประโยคหนึ่งที่พรรคก้าวไกลใช้ในการหาเสียง เมื่อพรรคชนะเป็นอันดับหนึ่ง ก็มีการเตรียมจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล นโยบายสำคัญๆ ที่จะนำไปใช้ในฐานะรัฐบาลถูกจัดวางในบันทึกความตกลงร่วม หรือ MOU ของ 8 พรรคการเมือง โดยมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ

‘กลิ่นความเจริญ’ และกระแสการเปลี่ยนแปลงถูกพูดถึงกันแพร่หลาย การแก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ รัฐสวัสดิการ สมรสเท่าเทียม สุราก้าวหน้า และข้อเสนออื่นๆ ที่เป็นของพรรคก้าวไกล มีโอกาสเกิดขึ้นจริงในภาคปฏิบัติ แม้การแก้ไขมาตรา 112 นโยบายสำคัญของก้าวไกลจะไม่ได้อยู่ใน MOU แต่ก้าวไกลก็รับว่าจะเป็นประเด็นเฉพาะของพรรค ที่จะนำไปพูดคุยในสภา

แต่เอาเข้าจริง แม้ผลการเลือกตั้งจะออกมาแบบนี้ ก้าวไกลชนะ และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เตรียมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หลายคนก็ยังอดหวั่นใจลึกๆ ไม่ได้ว่า เกมนี้ก้าวไกลยังไม่ชนะสมบูรณ์แบบ การเปลี่ยนแปลงจะยังไม่เกิดขึ้นจริง จนกว่าจะผ่านกระบวนการในสภาเสร็จสิ้น พิธาเป็นนายกฯ และก้าวไกลได้ตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการ

และก็เป็นตามคาด เส้นทางของก้าวไกล การเปลี่ยนแปลง และการเข็นประเทศไทยขึ้นภูเขา …ไม่มีอะไรง่าย

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกดักทางสู่เก้าอี้นายกฯ ด้วยข้อกล่าวหาถือครองหุ้นสื่ออย่างไอทีวี จนศาลรัฐธรรมนูญต้องสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ที่สำคัญคือไม่สามารถผ่านการโหวตนายกฯ ครั้งแรก เพราะนอกจาก สส.พรรครัฐบาลเดิม ยังมีบรรดา สว. ซึ่งมีส่วนร่วมในการโหวตครั้งนั้นส่วนใหญ่ไม่เห็นชอบ โดยมีประเด็นสำคัญคือการแก้ไขมาตรา 112

ปรากฏการณ์สำคัญในวันนั้นคือ มาตรา 112 ที่ใครๆ ก็ว่ากันว่าไม่ต้องการแม้แต่จะเอาไปถกเถียงในสภา กลับถูกอภิปรายอย่างออกรสชาติ เป็นประจักษ์พยานสำคัญแสดงให้เห็นว่า จริงๆ แล้วการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรานี้เป็นเรื่องที่พูดถึงได้

หลังจากการเสนอชื่อพิธาเข้าสู่การโหวตนายกฯ รอบสองไม่สามารถทำได้ เพราะสภาลงมติว่าเป็นการเสนอญัตติซ้ำ สิทธิในการตั้งรัฐบาลถูกส่งต่อไปยังพรรคอันดับสอง เพื่อไทย ซึ่งเพื่อไทยที่เคยประกาศว่า “จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ให้ก้าวไกลพยายามจัดตั้งรัฐบาล ก็รับปากจะจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยให้ได้ โดยเปิดเผย 3 แนวทางให้ได้มาซึ่งเสียงสนับสนุน คือ หนึ่ง-ขอเสียง สส. สอง-ขอเสียง สว. สาม-แนวทางอื่นๆ ซึ่งในแนวทางสุดท้าย มีนัยยะถึงการสลายขั้วแปดพรรคจัดตั้งรัฐบาล

แล้ว ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ก็เริ่มขึ้น แต่ไม่ใช่ในแบบของก้าวไกลที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม

พรรคเพื่อไทยเดินเกมด้วยการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ทั้งภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ชาติพัฒนากล้า ชาติไทยพัฒนา ซึ่งท้ายที่สุดนอกจากพรรคเหล่านี้เกือบทั้งหมดจะสนับสนุนเสียงโหวตแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทย ยังมีโอกาสเกือบเต็มร้อยที่จะได้ร่วมรัฐบาล

โดยมีเงื่อนไขว่า ไม่แก้มาตรา 112 และไม่มีก้าวไกลร่วมรัฐบาล

เหตุผลสำคัญของเพื่อไทยที่สลายขั้วกลุ่มพรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ข้ามขั้วไปหาพรรครัฐบาลเดิม เพราะการจัดตั้งรัฐบาลขณะนี้ถือว่าล่าช้ามาก ผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว 3 เดือน ยังไม่มีรัฐบาลตัวจริงมาทำงานบริหารประเทศ และ ‘วิกฤติของประเทศรอไม่ได้’ เช่น วิกฤติรัฐธรรมนูญ วิกฤติเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องของประชาชน และวิกฤติความขัดแย้งในสังคม

การข้ามขั้วของเพื่อไทยทำให้เกิดคำถามและการวิจารณ์ถาโถมอย่างหนัก และสารพัดคำตอบของแกนนำเพื่อไทยต่อคำวิพากษ์ก็ฟังแล้วขัดหูขัดใจ ทั้งการตระบัดสัตย์ การกลืนเลือด การใช้เหตุผลที่ไม่ใช่เหตุผล ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยพฤติกรรมการเร่งรีบและยอมกลืนคำพูดของตัวเองอย่างไม่กลัวเสียเกียรตินั้น มีคำตอบของสมการคือการแก้วิกฤติของประชาชนจริงหรือเปล่า

เช่น กรณีจับมือกับภูมิใจไทย ที่ครั้งหนึ่งพรรคเพื่อไทยอภิปราย อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่า ‘ค้าความตาย’ ด้วยการสั่งซื้อวัคซีน Sinovac จำนวนมหาศาล

และ สุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็เคยใช้ถ้อยคำอภิปรายเรื่องกัญชา ซึ่งเป็นนโยบายที่อนุทิน ‘พูดแล้วทำ’ ได้จริง ว่า

“ท่านโพนทนากันว่า กัญชาดีสารพัด เป็นพระเอกขี่ม้าขาว ช่วยชีวิตคน ผมจะบอกว่ากัญชามีประโยชน์จริง แต่มันก็มีโทษ ทำลายสมองและระบบประสาท ทำให้การเรียนรู้ความจำต่ำ โดยเฉพาะเด็กๆ กัญชามีคุณอนันต์ แต่ก็มีโทษมหันต์ เพราะฉะนั้นมันจึงต้องถูกควบคุม”

และ

“มีข่าวว่านักการเมืองไปทำไร่กัญชาในประเทศเพื่อนบ้านเป็นหมื่นเป็นแสนไร่ วางธุรกิจไว้หมด พอวันที่ 9 มิถุนายน ดอกกัญชาวางแผงในร้านสะดวกซื้อทันที นี่วางแผนกันไว้ก่อนแล้วใช่ไหม”

“ผมไม่ไว้วางใจท่านอนุทิน เพราะถ้าท่านอยู่ต่อไป กัญชาจะต้องเตลิดเลยเถิดไปกว่านี้มาก แค่ทุกวันนี้เราก็วิตกกันแบบขนหัวลุกแล้ว ยังมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนอีก ท่านต้องตอบผมและชาวบ้านให้ได้ ผมไม่ไว้วางใจท่านให้บริหารประเทศต่อไป”

และพรรคภูมิใจไทยขึ้นชื่อว่าดูด สส. จากเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ ไปหลายคน จนเพื่อไทยออกแคมเปญหาเสียง ‘ไล่หนู ตีหูเห่า’ ที่ศรีสะเกษ แต่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ให้เหตุผลในวันแถลงข่าวจับมือกับอนุทินว่า เป็นเพียง ‘เทคนิคการหาเสียง’

ที่สำคัญคือ พรรคภูมิใจไทยคือกุญแจสำคัญที่ทำให้เพื่อไทยไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งปี 2562 เพราะภูมิใจไทยเลือกจับมือกับพลังประชารัฐ ทำให้เสียงของฝั่งพรรคเพื่อไทยไม่พอ จนต้องเป็นฝ่ายค้านนาน 4 ปี

อีกตัวอย่างคือ พลังประชารัฐ ขั้วตรงข้ามของเพื่อไทย มรดกของ คสช. ที่แท้จริง เพราะเมื่อครั้ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ในนามพลังประชารัฐ และพลเอกประยุทธ์เป็นคนทำรัฐประหารล้มรัฐบาลเพื่อไทยของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส่วน พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ ก็เป็นแกนนำคนสำคัญของ คสช. มีส่วนในการคัดเลือก สว. และปัญหาสำคัญของประเทศอย่างรัฐธรรมนูญ 2560 ก็มาจากการร่างของ คสช.

เมื่อ 23 มีนาคม 2566 ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความว่า “การที่บอกว่า พรรคเพื่อไทย จะจับมือกับพลังประชารัฐ เป็นเรื่องเพ้อฝัน”

ข้อความนี้ถูกแชร์ต่อโดย เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทย ว่า “จะไปจับมือกับเครือข่ายของคนที่เอาปืนมาจี้เรา แล้วจะอธิบายให้พี่น้องประชาชนอย่างไร แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว”

คิดว่าขณะนี้ว่าที่นายกฯ คนที่ 30 อาจต้องใช้เวลาทำการบ้านคิดคำอธิบายอย่างหนัก เหมือนที่แกนนำเพื่อไทยหลายคนต้องคิดวาทะคมๆ เป็นรายวัน เพื่อสร้างคำอธิบายใหม่ๆ ให้การตระบัดสัตย์ดูนุ่มนวลแบบพาสเทล แบบไม่ต้องกลัวดิจิทัลฟุตปรินต์อีกต่อไป

มองย้อนไป หากเพื่อไทยบอกว่า ขณะนี้บ้านเมืองมีวิกฤติต้องแก้ไข ดังนั้น วิกฤติที่ดำเนินอยู่ ย่อมเกิดจากการบริหารงานของรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งนำโดยพลังประชารัฐ ทำให้เกิดประโยคพร้อมเครื่องหมายคำถามขึ้นว่า การร่วมมือจัดตั้งรัฐบาลกับคนที่สร้างวิกฤติ จะเป็นวิธีแก้ไขวิกฤติได้อย่างไร

และการที่กลุ่มพรรคการเมืองที่ทั้งสร้างวิกฤติ ร่างรัฐธรรมนูญ บริหารประเทศจนย่ำแย่ ประชาชนลำบาก หรือค้าความตายช่วงโควิด-19 เมื่อพรรคเหล่านี้ยอมเทคะแนนเสียงโหวตให้ โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่มีก้าวไกลร่วมรัฐบาล ก้าวไกลจึงเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์มากกว่าผู้สร้างวิกฤติมากับมืออย่างที่เห็น

อะไรกันแน่ ที่เพื่อไทยรอไม่ได้

มาถึงวันนี้ ‘ดีล’ ที่เคยถูกฝั่งกองเชียร์เพื่อไทยพันธุ์แท้ปรามาสว่าเป็นเพียง ‘การมโน’ ของกลุ่มไม่ชอบเพื่อไทย การจับมือกับพรรคที่ไม่ว่าจะมี ‘ลุง’ ที่เป็นตัวบุคคลหรือไม่ แต่ ‘ลุง’ ที่เป็นดีเอ็นเอและภาพของการสืบทอดอำนาจหลังรัฐประหารนั้นมีแน่นอน วันนี้ใกล้เป็นความจริงจนแทบจับต้องได้

และเมื่อเห็นโผการแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ที่ใช้เกณฑ์จำนวน สส. แบบที่คุ้นเคยกันตามฉบับการเมืองเก่า คือไม่ได้ดูที่ความเชี่ยวชาญใดๆ ก็ทำให้วาดภาพรัฐบาลชุดใหม่ได้คร่าวๆ ว่า มีหน้าตาคล้ายๆ รัฐบาลชุดเดิม เพิ่มเติมคือเพื่อไทย – และไม่มีพลเอกประยุทธ์ที่ประกาศวางมือไปแล้ว

หากเป็นจริงตามนี้ คงต้องดูกันต่อไปว่า วิกฤติที่เพื่อไทยต้องการแก้ เมื่อมาทำงานร่วมกับกลุ่มคนที่มีส่วนสร้างวิกฤติ ปัญหาต่างๆ จะคลี่คลายได้แค่ไหน โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เพื่อไทยบอกว่าเป็นวาระแห่งชาติ

หากเราเคยได้ยินคำว่า ‘รัฐประหารเสียของ’ จากกลุ่มผู้นิยมการยึดอำนาจ คงไม่แปลก ถ้าคิดแบบไทยๆ ว่ากระบวนการประชาธิปไตยอย่างการเลือกตั้งก็เสียของได้ไม่ต่างกัน เพราะดูท่าแล้ว รัฐบาลชุดใหม่น่าจะต่างจากเดิมไม่มาก หลายกระแสบอกว่า จากการต่อรอง ‘คณิตศาสตร์การเมือง’ รัฐมนตรีบางคนอาจได้นั่งเก้าอี้ตัวเดิมสมใจ

หรือคิดอีกอย่าง เพราะความพยายามทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมของก้าวไกล อย่างเร่งรีบ แต่ไม่มีใครยอมรับ ทำให้เพื่อไทยต้องลงแรง กลืนเลือด กลืนน้ำลาย ยอมกลับคำพูดไปมา เพื่อทำให้ ‘ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ ไม่เกิดขึ้นจริง

และก็เป็นตามคาด เส้นทางของก้าวไกล การเปลี่ยนแปลง และการเข็นประเทศไทยขึ้นภูเขา เพราะสุดท้ายประเทศไทยต้องอยู่ที่เดิม

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *