การบำรุงดิน

เดินเท้าเปล่า 700 กม. หนุ่มนึกว่าตายแล้วเกิดใหม่ ขอตร.ช่วยเจอคำพูดสุดเจ็บ ญาติช็อกติดต่อไม่ได้20วัน

คนเหล็กเดินเท้าเปล่า 700 กม. หนุ่มเปิดใจร่ำไห้ นึกว่าตายแล้วเกิดใหม่ ไม่คิดว่าจะถึงบ้าน ถูกล้วงกระเป๋าไม่เหลือ ขอตร.ช่วยบอกมึงมีปัญญามามึงก็มีปัญญากลับบ้านได้ ญาติช็อกติดต่อไม่ได้กว่า20วันนึกว่าตายไปแล้ว

เปิดใจคนเหล็กเดินเท้าเปล่าปั่นจักรยานกลับบ้าน 700 กม.หัวใจสุดแกร่งบอกขาเดินไม่ไหวแต่ใจสู้หนุ่มอุดรวัย 50 ถูกล้วงกระเป๋าที่สถานีรถไฟ ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว เดินเท้าเปล่ากลับ 20 วัน

เจอรปภ.ที่สระบุรีใจดีให้จักรยานฟรี ทั้งเดินทั้งปั่นกลับบ้าน ระยะทางเกือบ 700 กม. วันนี้เจ้าตัวเปิดใจ ดีใจได้กลับบ้านญาติต้อนรับอบอุ่น เล่าทั้งน้ำตา นึกว่าตายแล้วเกิดใหม่ ไม่คิดว่าจะถึงบ้าน หัวใจสุดแกร่งบอกขาเดินไม่ไหวแต่ใจสู้ ผมต้องกลับมาถึงบ้านให้ได้

วันที่ 28 เม.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า จากกรณีเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 27 เม.ย.67 ที่ผ่านมา มีพลเมืองดีไปพบชายคนหนึ่งเดินจูงจักรยานข้างถนน สาย อ.หนองหาน-กุมภวาปี บริเวณบ้านหนองบัวแดง ต.หนองไผ่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี

จึงเข้าไปสอบถามทราบว่า ชื่อนายเดช หรือ อู๊ด โสภาดี อายุ 50 ปี ชาวบ้านเมืองนาซำ ต.นาไหม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เจ้าตัวบอกเดินเท้าเปล่าจากสถานีรถไฟที่กรุงเทพฯ หลังจากถูกโจรล้วงกระเป๋าไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียวและตั๋วรถไฟก็ขโมยไปด้วย

จึงเดินเท้าเปล่าเพื่อจะกลับบ้าน พอมาถึงสระบุรีมีรปภ.ใจดีมอบจักรยานให้ปั่นมาบ้านด้วย ก็เดินทางมาเรื่อยๆ ตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.67 จนมีพลเมืองดีมาพบ ต่อมานายวีระพลฯ แอดมินบ้านดุงอัพเดตได้นำรถตู้มารับไปส่งถึงบ้านที่บ้านเมืองนาซำ ต.นาไหม

ท่ามกลางความดีใจของญาติๆ แต่ญาติบางคนถึงกับช็อกที่ได้เจอนายเดชหรืออู๊ด หลังจากติดต่อไม่ได้กว่า 20 วัน นึกว่าตายไปแล้ว

ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 20 หมู่ 10 บ้านเมืองนาซำ ต.นาไหม ซึ่งเป็นบ้านของพี่สาว พบกับนายอู๊ดพร้อมภรรยา มีญาติๆ และเพื่อนบ้านเดินทางมาเยี่ยมถามข่าวคราวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ว่าเป็นไงมาไง

เจ้าตัวมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก็เล่าบอกว่าถูกล้วงกระเป๋าไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว จึงตัดสินใจเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน หลังจากกลับมาถึงบ้านก็ดีใจ นึกว่าตายแล้วเกิดใหม่

นายเดช หรือ อู๊ด บอกว่า ผมไปทำงานรับจ้างก่อสร้างอยู่ที่บ้านภรรยาที่อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ก็อยากกลับบ้านเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ไทยมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง ก่อนมาภรรยาให้เงินติดตัวมา 1,100 บาทนั่งรถโดยสารจาก อ.บ้านแหลม มาถึงสถานีรถไฟ จำไม่ได้ว่าบางเขนหรือบางซื่อ

ช่วงเย็นวันที่ 9 เม.ย.67 ซื้อตั๋วรถไฟน่าจะออกประมาณสามทุ่มครึ่ง ก็ไปนอนรอแถวสถานีฯ ก่อนนอนกินข้าวเหนียวส้มตำเกิดง่วงนอนเลยนอนเล่น ตื่นขึ้นมาปรากฏว่ากระเป๋าสตางค์ถูกฉีกทิ้ง ทั้งเงินบัตรประชาชน รวมทั้งตั๋วรถไฟหายไปหมด…

ตกใจมาก เดินไปหาตร.แถวนั้นเพื่อขอความช่วยเหลือ ตร.ก็บอกว่า มึงมีปัญญามามึงก็มีปัญญากลับบ้านได้ ผมเห็นตร.พูดแบบนั้นก็เลยเดินออกมา

จึงตัดสินใจเอาไงเอากัน ขอเดินกลับบ้านแล้วกัน ก็เดินมาเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก พอมาถึงสระบุรี ก็เดินไปขอน้ำกินกับพี่รปภ.คนหนึ่งน่าจะเป็นโรงงานไก่

รปภ.ก็ถามว่าจะไปไหนอย่างไร ผมก็เล่าให้เขาฟัง เขาสงสารก็เลยยกจักรยานให้เลยบอกว่าปั่นกลับบ้านพร้อมให้เงินมาจำนวนหนึ่ง ก็ปั่นมาเรื่อยๆ จักรยานเกิดยางรั่ว เงินก็ไม่มี

ก็ได้จากพระที่ออกบิณฑบาต และชาวบ้านที่สงสารให้ ทีละ 10 20 100 เอาไว้ซื้อข้าวกินมาเรื่อยๆ ปกตินอนตามศาลาริมทางกลางวัน กลางคืนค่อยเดินและปั่นจักรยานเพราะอากาศไม่ร้อน

ส่วนที่ว่าทำไมไม่แวะหาตำรวจให้เขาช่วย ตอนนั้นผมมืดไปหมด และเคยไปขอความช่วยเหลือที่สถานีรถไฟแล้วเห็นเขาบอกมามีปัญญามาก็มีปัญญากลับบ้าน เลยไม่กล้าไปขอความช่วยเหลืออีก

ตอนแรกว่าจะกลับเพชรบุรี ก็ไม่อยากกลับเพราะภรรยาก็ไม่มีตังค์ จึงตัดสินใจต้องกลับบ้านที่อุดร ก่อนเดินมายกมือขึ้นท่วมหัว ยังไงต้องกลับบ้านไปตายเอาดาบหน้า

ตอนเดินทั้งเหนื่อยทั้งท้อ คิดในใจหิวต้องแวะวัด นอนข้างศาลา กินผักกระถิน กินน้ำที่เหลือตกอยู่ข้าง ผมคิดเสมอใจว่า ยังไงต้องตายบ้านเกิด แม้ขาเดินไม่ไหว แต่ใจต้องสู้ ผมต้องมาหาพี่สาวและญาติๆ ให้ได้

ดีใจที่ได้กลับมาถึงบ้านแล้ว เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลย ขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือทั้งพระ ชาวบ้าน และลุงรปภ.ที่ให้จักรยานปั่นกลับบ้าน ชาตินี้ผมจะไม่ลืมพระคุณเลย นายอู๊ดพูดไปก็น้ำตาไหลสะอื้นร้องไห้ออกมา

ขณะที่นางพัชรี ปัจจะสุชาติ อายุ 60 ปี ภรรยานายอู๊ด บอกว่า สามีอยากกลับมาบ้านเทศกาลสงกรานต์จึงให้เงินติดตัวมา 1,100 บาท ออกมาตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.67 สามีไม่มีโทรศัพท์ติดตัว จากนั้นก็โทรหาพี่สาวสามีก็บอกว่ายังไม่ถึงบ้าน

ก็ตกใจขึ้นรถโดยสารมาที่อุดรทันที ไม่รู้ข่าวคราวเลยไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ทั้งไปแจ้งความคนหายและก็ไปดูหมอดูให้ท่านช่วย ท่านบอกว่า สามียังไม่ตาย เหมือนหลงทางอยู่ ใจเราก็เฝ้ารอ เมื่อวานเห็นหน้าสามีดีใจมาก ไม่คิดว่าเขาจะรอดมาได้ จากนี้ไปคงให้สามีไปบวชสักระยะที่วัด

ทางด้านนางดวงดาว โสภาดี อายุ 51 ปีพี่สาว บอกว่า น้องชายจะกลับมาเยี่ยมบ้าน เราก็เฝ้ารอ ผ่านวันแล้ววันเล่าก็ไม่เห็น จนภรรยาเขาขึ้นมาวันที่ 17 เม.ย.ไม่เห็นสามีก็ตกใจ พี่ๆ ก็ใจหาย

ไปแจ้งความก็แล้ว หาหมอดูก็แล้ว จู่ๆ โผล่มาบอกว่าถูกล้วงกระเป๋าไม่มีเงินกลับบ้าน ทุกคนที่เป็นญาติและชาวบ้านก็ดีใจ เหมือนน้องชายตายแล้วเกิดใหม่ ดีใจที่เห็นกลับมาบ้านครบ 32 ประการ พี่สาวกล่าวด้วยความดีใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *