ให้กำลังใจ อาจารย์ป.เอก ป่วยจิตเวช ต้องลาออก มหาลัยฟ้อง 10 ล้าน กลายเป็นคนเร่ร่อน
ให้กำลังใจ อาจารย์ป.เอก ป่วยจิตเวช ต้องลาออก มหาลัยฟ้อง 10 ล้าน จนต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ต้องเป็นคนเร่ร่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นักเคลื่อนไหวกิจกรรมทางสังคม โพสต์เล่าเรื่องราวว่า “เค็ง” เกิดในครอบครัวคนจีนที่มีพี่น้อง 9 คน เธอเป็นคนที่ 8 ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจนในวัยเด็ก พี่ๆ ต้องทำงานส่งเสียเธอเรียน และเธอเป็นคนเดียวในบ้านที่มีโอกาสเรียนหนังสือจนจบปริญญาเอก ด้วยทุนกระทรวงวิทย์ ฯและม.แม่ฟ้าหลวง
เรื่องมีอยู่ว่าตอนเธอเรียน ป.เอก อยู่ที่อังกฤษอยู่นั่น เธอป่วยด้วยโรคจิตเวช เธอเข้าสู่กระบวนการรักษาในรพ. แต่โชคดีระบบการดูแลของมหาวิทยาลัยที่นั่นดีมาก จนอาการของเธอกลับมาดีและเรียนจนจบ ป.เอก และกลับมาทำงานใช้ทุนเป็นอาจารย์ และเมื่อทำงานเป็นอาจารย์ได้อีกสักระยะหนึ่ง อาการป่วยของเธอกำเริบและไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ผู้บริหารขอให้เธอลาออก ด้วยสภาวะการเจ็บไข้ ทำให้เธอเขียนข้อความลาออกทางอีเมล์ในขณะที่ยังไม่ครบเงื่อนไขการใช้ทุน และมหาวิทยาลัยก็ฟ้องเธอ เรียกเงินชดเชยทุนที่ส่งเธอไปเรียนนับ 10 ล้านบาท
ดร.เค็ง ไม่รู้เลยว่าการเจ็บป่วยของเธอนั้น จะนำไปสู่ความยุ่งยากถึงขนาดนี้ เธอเดินเร่ร่อนอยู่ที่เชียงราย ขี่จักรยานจากในเมืองไปแม่จัน พูดคนเดียว ไม่อาบน้ำ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเดิมๆ อยู่เป็นปี เธอป่วยจิตเวชเต็มรูปแบบ กว่าเธอจะได้เข้าสู่กระบวนการรักษาก็ผ่านไปหลายปี แม้ตอนนี้อาการจิตเวชจะดีขึ้นแล้วเธอยังมีอาการซึมเศร้า และรับรู้ว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับการฟ้องร้อง จนต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย และทำให้พี่ชายที่เซ็นค้ำประกันตอนขอทุนได้รับความเดือนร้อนไปด้วย
เค็งต่อสู้คดีโดยลำพังในศาลปกครอง ในขณะที่เธอยังอยู่ในสภาพที่แม้ดีขึ้นแต่ไม่ปกติ เธอสู้ว่าเธอไม่ได้หนีทุน แต่เพราะเธอป่วย ซึ่งมิใช่การกระทำของตนเอง ซึ่งในระเบียบของกระทรวงวิทย์ฯ มีข้อยกเว้นการใช้ทุนหากเจ็บป่วยจนไม่สามารถทำงานได้ แต่มหาวิทยาลัยสู้ในประเด็นว่าเธอลาออกและไม่ทำงานใช้ทุน ศาลรับพิจารณากรณีเพียงได้ใช้ทุนหรือไม่ แต่ไม่ได้พิจารณาว่าป่วยหรือไม่ป่วย เธอแพ้คดีในศาลปกครองชั้นต้น และอยู่ระหว่างการอุทธรณ์
คนที่เคยเป็นความหวังของครอบครัวกลับกลายอยู่ในสภาพที่ถูกฟ้องร้องด้วยเงินนับ 10 ล้านบาท แม้พยายามขอกลับเข้าไปทำงานเพื่อยุติข้อพิพากก็ไม่ได้รับโอกาส จนเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.66 เธอได้กลับไปทำงานให้กับมูลนิธิฯแห่งหนึ่งอยู่ภายใต้หน่วยงานรัฐ ซึ่งเป็นการกลับเข้าสู่การทำงานในรอบสิบปี และเธอมีความสุขมาก แม้หัวหน้างานจะบอกว่างานวิจัยของเธอนั้นทำงานที่บ้านได้ แต่เธออยากออกมาเจอผู้คนและกลับเข้าสู่การทำงานอีกครั้ง